ไทยคม ชี้ข้อกล่าวหาของกระทรวงดีอีทำให้เสียชื่อและกระทบความเชื่ อมั่น เตรียมยื่นอนุญาโตตุลาการเพื่ อชี้ขาด ในข้อพิพาทเรื่องดาวเทียมไทยคม 7 และไทยคม 8
ตามที่ บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) (“บริษัทฯ”) ได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่ งประเทศไทย เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2560 เรื่อง “ข้อพิพาทเรื่องดาวเทียมไทยคม 7 และไทยคม 8 ภายใต้สัญญาดำเนินกิจการดาวเที ยมสื่อสารภายในประเทศ” (ที่ TC-CP 019/2560)
โดยเป็นการแจ้งถึงมติที่ประชุ มคณะกรรมการบริษัทฯ วาระพิเศษ ครั้งที่ 11/2560 ซึ่งได้จัดประชุมไปเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2560 ให้บริษัทฯ ยื่นเสนอข้อพิพาทต่ออนุญาโตตุ ลาการเพื่อพิจารณาชี้ขาดข้อพิ พาทที่เกิดขึ้นระหว่าง กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิ จและสังคม (“กระทรวงดิจิทัลฯ”) และบริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษั ทฯ
ซึ่งทางกระทรวงดิจิทัลฯ แจ้งว่า ดาวเทียมไทยคม 7 และดาวเทียมไทยคม 8 เป็นดาวเทียมภายใต้สัญญาดำเนินกิจการดาวเทียมสื่ อสารภายในประเทศ (สัญญาฯ) ขณะที่บริษัทฯ มีความเห็นต่างว่า การดำเนินการดาวเทียมทั้ง 2 ดวงดังกล่าว เป็นการดำเนินการภายใต้ กรอบของการรับใบอนุ ญาตจากคณะกรรมการกิ จการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)
โดยที่บริษัทฯ ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขและข้ อกำหนดต่างๆ และมิได้มีการดำเนินการใดๆ ที่ขัดต่อสัญญาฯ
ที่ประชุมจึงให้บริษัทฯ ยื่นเสนอข้อพิพาทต่ออนุญาโตตุ ลาการ อันเป็นข้อกำหนดตามสัญญาฯ ข้อ 45.1 ในกรณีที่เกิดข้อพิพาทและคู่สั ญญาไม่สามารถตกลงกันได้
ซึ่งทางบริษัทฯ ได้ดำเนินการยื่นข้อโต้แย้งต่ อสถาบันอนุญาโตตุลาการเมื่อวั นที่ 25 ตุลาคม 2560 เป็นข้อพิพาทหมายเลขดำที่ 97/2560 ดังทราบแล้วนั้น
ต่อมา ได้มีข่าวปรากฏบนหน้าหนังสือพิมพ์ว่า นายพิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ ได้แสดงความคิดเห็นผ่านสื่ อมวลชนและตีพิมพ์ในหัวข้อข่าว “จ่อฟ้องศาลปกครองชี้ขาด “ดีอี” บี้ “ไทยคม” ปฏิบัติตามสัญญาสัมปทาน” (นสพ.ไทยรัฐ (กรอบบ่าย) ฉบับวันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2560)
โดยมีเนื้อความตอนหนึ่งระบุว่า ….เมื่อตกลงกันไม่ได้ก็ ควรจะยื่นฟ้องศาลปกครองให้ตัดสิ นชี้ขาด เพื่อสร้างความชัดเจนโดยไม่ จำเป็นต้องผ่านขั้นตอนของคณะอนุ ญาโตตุลาการเพราะจะล่าช้า…
ข่าวดังกล่าว มีผลกระทบต่อความเชื่อมั่น และทำให้เกิดความเข้าใจที่ คลาดเคลื่อนต่อสาธารณชน บมจ.ไทยคม ในฐานะที่เป็นบริษัทจดทะเบี ยนในตลาดหลักทรัพย์แห่ งประเทศไทย มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบต่อผู้มี ส่วนได้ส่วนเสีย
จึงขอชี้แจงเกี่ยวกับประเด็นข่ าวดังกล่าวเพื่อสร้างความเข้ าใจที่ถูกต้อง ดังนี้
1.บริษัทฯ เห็นว่าการที่กระทรวงดิจิทัลฯ จะนำข้อพิพาทดังกล่าวยื่นฟ้องต่อศาลปกครองให้ตัดสินชี้ขาด เป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้ องตามกระบวนการที่ระบุในสัญญาฯ
อีกทั้ง ข้อกำหนดในเรื่องการดำเนิ นการระงับข้อพิพาทเป็นข้ อกำหนดที่ระบุเอาไว้ในสัญญาฯ ที่ทำขึ้นระหว่าง บมจ.อินทัช และกระทรวงดิจิทัลฯ คู่สัญญาจึงต้องดำเนินการโดยวิ ธีการที่ระบุไว้ในสัญญา
2.บมจ.อินทัช และ บมจ.ไทยคม ได้ดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับการทำสัญญาต่างๆ ตามกระบวนการและขั้นตอนอย่างถู กต้อง ครบถ้วน ด้วยความสุจริต มาตลอดระยะเวลา 26 ปี
และบริษัทฯ เชื่อมั่นในสิ่งที่ได้ดำเนิ นการว่าถูกต้องตามกฎหมาย จึงเป็นฝ่ายเสนอเรื่องเข้าสู่ กระบวนการอนุญาโตตุลาการ เพื่อให้มีคนกลางที่มีความยุติ ธรรมเข้ามาช่วยตัดสิน หาทางออก และ/หรือ ข้อยุติบนพื้ นฐานของความชอบธรรมตามกฎหมาย